ต้องยอมรับว่าตั้งแต่เกิดโควิดขึ้นมาเมื่อประมาน 2 ปีที่แล้วหลายๆคนหลายธุรกิจก็ต้องเริ่มปรับตัวหาหนทางในการทำธุรกิจใหม่และธุรกิจที่เติบโตขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดก็คงหนีไม่พ้นธุรกิจขนส่งและการขายออนไลน์ และในเมื่อธุรกิจพวกนี้เติบโตขึ้นมาผู้คนก็จะมองหาโปรแกรมหรือระบบเข้ามาช่วยในการทำงาน โดยธุรกิจขนส่งเนี่ยก็จะมีเจ้าใหญ่ๆมาขายเฟรนไชน์กันมากมาย เปิดเป็นตึกแถว มีถึงขั้นมารับที่บ้าน ชิ้นเดียวก็มารับอะไรแบบนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้บริโภค แต่ธุรกิจการขายของ ด้วยความหลากหลายของสินค้า หลากหลายวิธีการขาย จึงทำให้ผู้คนมองหาระบบต่างๆมากมายมาใช้งาน แล้วทีนี้เราจะเลือกที่ไหนมาทำระบบให้เรา
วิธีการที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้ก็คือ หันมามองตัวเองก่อนว่า เราอยากมีระบบเป็นของตัวเอง หรือว่าอยากใช้สำเร็จรูป ซึ่งข้อดีข้อเสียก็จะต่างกันออกไปแล้วแต่ความต้องการ
ระบบสต็อคสำเร็จรูป
ข้อดี | ข้อเสีย |
สมัครปุ๊บใช้งานได้ทันที ปัญหาของระบบมีน้อย โฟลวการทำงานชัดเจน ถูกประหยัด | อยากได้อะไรเพิ่มไม่สามารถทำได้ ไม่สามารถแก้ไขโฟลวการทำงานได้ ไม่สามารถต่อยอดมาทำระบบวิเคราะห์เพิ่มได้ ต้องจ่ายเงินตลอดไปจนกว่าจะเลิกใช้ |
ระบบสต็อคแบบเขียนขึ้นมาใหม่
ข้อดี | ข้อเสีย |
ตรงตามความต้องการตัวเอง พัฒนาต่อยอดได้ตลอด นำมาทำรายงานวิเคราะห์ได้ | บั๊คเยอะ ค่าใช้จ่ายสูง ต้องใช้เวลาพัฒนา |
อย่างที่ในตารางที่ผมได้ทำการเปรียบเทียบเลย เมื่อเราเลือกได้แล้วว่าเราจะทำเองหรือว่าใช้สำเร็จรูปเราก็จะมาดูกันต่อว่าวิธีการหลังจากที่เราเลือกแล้วเป็นอย่างไร
ใช้ระบบสต็อคสำเร็จรูป
หากเราเลือกใช้ระบบสต็อคสำเร็จรูปเราก็จะสามารถขอทดลองใช้งานก่อนได้ เพราะโดยปกติระบบพวกนี้จะคิดเงินเราเป็นรายเดือนหรือตามเงื่อนไขต่างๆที่เค้าได้กำหนด ให้เราไปทำการขอลิงค์ ตัวอย่างมาลองใช้งานดูก่อนว่า ตอบโจท์หรือโอเคกับธุรกิจเราหรือไม่ หากตกลงหรือโอเคแล้วเราจึงเลือกใช้ และสิ่งสำคัญของการเลือกระบบสต็อคสำเร็จรูปนี่ก็คือราคาที่ต้องจ่าย ให้พิจารณาค่าใช้จ่ายตามเงื่อนไขต่างๆของผู้ให้บริการด้วย เช่น จ่าย 500 ทำออเดอร์ได้ 100 ออเดอร์/คำสั่งซื้อ เป็นต้น เราต้องมองการเติบโตและวางแผนการเติบโตของธุรกิจเราดีๆ จึงจะช่วยในการตัดสินใจได้
ระบบสต็อคแบบเขียนขึ้นมาใหม่
หากคุณคิดจะพัฒนาระบบสต็อคก็จะต้องมองหาบริษัทที่รับเขียนโปรแกรมสต็อคซึ่งสิ่งสำคัญของการจะไปจ้างเค้าเขียนโปรแกรมหรือระบบสต็อคเนี่ย เราต้องรู้โฟลวการทำงานของตัวเองก่อนต้องชัดเจนกับตัวเองให้ได้ก่อน จากนั้นจึงค่อยไปถ่ายทอดต่อผู้พัฒนาโปรแกรม เมื่อเราถ่ายทอดให้แก่ผู้พัฒนามาแล้วางเค้าก็จะประเมินราคาค่าจัดทำมาให้ โดยค่าจัดทำตรงๆนี้ผมแนะนำให้ผู้อ่านแบ่งออกเป็นอย่างน้อยๆ 4 งวดงาน คือ
- มัดจำ แน่นอนว่าเมื่อเราจะจ้างเค้าทำงานเราก็ต้องทำการมัดจำให้กับผู้พัฒนาก่อน
- เมื่อคอนเฟิร์มขอบเขตงาน หลังจากได้ชำระมัดจำแล้วผู้พัฒนาควรจะทำตัวอย่างหน้าจอตัวอย่าง เงื่อนไขการทำงานของระบบต่างๆมาให้ผู้ว่าจ้างดูก่อนที่จะดำเนินการพัฒนาจริง เมื่อผู้ว่าจ้างมั่นใจและเข้าใจมองระบบไปในทิศทางเดียวกันแล้วจึงค่อย เซ็นเอกสารเพื่อกำหนดขอบเขตงาน หลังจากที่คอนเฟิร์มขอบเขตงานแล้วผู้พัฒนาควรจะทำเอกสารไทม์ไลน์ออกมาให้ชัดเจนว่าแต่ละโมดูลแต่ละฟังก์ชั่นใช้เวลาในการพัฒนาเท่าไหร่และจะเสร็จเมื่อไหร่
- เมื่อส่งมอบงาน 50% ต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า 50% ที่ว่านี้มาจากไหน ให้ผู้ว่าจ้างมองกลับไปที่ไทม์ไลน์จากงวดที่สอง จากนั้นให้ทำการตกลงกับผู้พัฒนาว่าขอบเขตงาน 50% ที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จในส่วนแรกเป็นอย่างไร ซึ่งในระหว่างนี้ผู้ว่าจ้างจะต้องทำการทดสอบระบบ อย่างหนักหน่วง เพื่อให้เจอปัญหาเยอะที่สุดและส่งกลับไปให้ผู้พัฒนาแก้ไข
- เมื่อส่งมอบงาน 100% อะหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เลยเหลอ จริงๆ ในมุมมองผมมันก็ไม่เชิง 100 ซะทีเดียว มันควรจะเป็นหลังจากขึ้นระบบไปแล้ว 1-2 เดือน เพื่อให้ดูว่ากรทำงานจริงระบบมันมีปัญหาหรือเปล่า ซึ่งเราต้องมองให้ออกว่ามันเป็นปัญหาของระบบหรือเป็นปัญหาของคนใช้งาน เพราะผู้ว่าจ้างจะเอาปัญหาของคนใช้งานมาเป็นข้อต่อรองในการจะไม่ชำระเงินงวดสุดท้ายไม่ได้
สรุป
จากที่ผมได้พิมพ์อะไรก็ไม่รู้ยืดยาวเยอะแยะเต็มไปหมด ผมพอจะสรุปให้ได้ก็คือว่า หากธุรกิจของตัวเองไม่น่าจะไปได้ไกลหลักล้านหลักสิบล้านผมก็อยากจะแนะนำให้ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพราะมันสะดวกรวดเร็วใช้งานได้ทันทีไม่ต้องรอ แต่ถ้าหากธุรกิจคุณคิดว่ามันจะโตและไปได้ไกลผมก็อยากจะแนะนำให้ใช้เป็นการพัฒนาระบบึ้นมาใหม่ เพื่อที่ว่าในอนาคตเราอาจจะจ้างโปรแกรมเมอร์มาพัฒนาโปรแกรมต่อหรือจากบริษัทมาพัฒนาต่อก็ได้
แต่อย่างไรก็ตามทางผมก็มีระบบสต็อคสำเร็จรูปที่สามารถนำไปต่อยอดได้มาให้ได้ลอง ถ้าสนใจก็สามารถติดต่อเข้ามาได้ตามเบอร์โทรที่อยู่บนเว็บไซต์ได้เลยครับ